เมนู

10. ปัชโชตสูตร



[217] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอ เป็นแสงสว่างในโลก อะไร
หนอ เป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก อะไร
หนอ เป็นสหายในการงานของผู้เป็นอยู่
ด้วยการงาน อะไรหนอ เป็นเครื่องสืบต่อ
ชีวิตของเขา อะไรหนอบุคคลผู้เกียจคร้าน
บ้าง ไม่เกียจคร้านบ้าง ย่อมพะนอเลี้ยง
ดุจมารดาเลี้ยงดูบุตร เหล่าสัตว์มีชีวิตที่
อาศัยแผ่นดินอาศัยอะไรหนอเลี้ยงชีวิต.

[218] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก สติ
เป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก ฝูงใดเป็น
สหายในการงานของผู้เป็นอยู่ด้วยการงาน
ไถเป็นเครื่องต่อชีวิตของเขา ฝนย่อมเลี้ยง
บุคคลผู้เกียจคร้านบ้าง ไม่เกียจคร้านบ้าง
เหมือนมารดาเลี้ยงบุตร เหล่าสัตว์มีชีวิตที่
อาศัยแผ่นดิน อาศัยฝนเลี้ยงชีวิต.

อรรถกาปัชโชตสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปัชโชตสูตรที่ 10 ต่อไป :-
บทว่า แสงสว่าง ได้แก่แสงสว่างดุจประทีป. บทว่า เครื่องตื่นอยู่
ได้แก่ ย่อมเป็นดุจชาคริกพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้ตื่นอยู่). บทว่า ฝูงโคเป็น
สหายในการงานของผู้เป็นอยู่
อธิบายว่า ฝูงโคเท่านั้นเป็นสหายในการงาน
ชื่อว่า มีการงานเป็นเพื่อนสอง ในการงานของพวกชนที่มีชีวิตอยู่กับการงาน
คือว่า พวกเขา ย่อมยังกสิกรรมเป็นต้นให้สำเร็จกับด้วยโคมณฑลทั้งหลาย.
บทว่า สิตฺสฺส อิริยาปโถ ได้แก่ ไถเป็นอิริยาบถ คือเป็นเครื่องสืบต่อ
แห่งชีวิตของหมู่สัตว์นั้น. บทว่า สิตํ แปลว่า คันไถ. เพราะว่า นาของ
ชาวนาคนใด แม้มีประมาณน้อย ย่อมไม่ทำการไถแล้ว เขาย่อมกล่าวว่า
เราจักเป็นอยู่ได้อย่างไร ดังนี้.
จบอรรถกถาปัชโชติสูตรที่ 10